เปิดมาให้เล่นกันได้พักใหญ่แล้วสำหรับโหมดการเล่นใหม่ Arena ใน Apex Legends ซึ่งก็เป็นโหมดที่มีผู้เล่นเข้าไปนัวกันมากมายทีเดียว และด้วยความแปลกใหม่นี้ทำให้วิธีการเล่นแตกต่างไปจากเดิมนิดหน่อย เช่นการซื้ออาวุธก่อนเข้าเล่นในแต่ละรอบเป็นต้น วันนี้เราจะมาแนะนำว่า อาวุธแบบไหนในเกมนี้ทำหน้าที่ของมันได้ดีและควรหาซื้อเพื่อฝึกการใช้งานบ้าง
Tier S
อาวุธใน Tier นี้คืออาวุธที่มีราคาสมเหตุสมผล ซื้อมาใช้ได้เลยตั้งแต่รอบแรก ๆ หรือรอให้เก็บใน Care Package ตัวอาวุธมีความสุดยอดอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม มีอยู่ในมือก็มีโอกาสชนะสูงขึ้น

Volt: SMG สุดเทพที่หลายคนต่างชื่นชอบ เป็นปืนที่มักจะเจอคนหยิบในรอบแรกเยอะมากในช่วงนี้ เนื่องด้วยอัตราการยิงที่สูง(อาจเป็นรองแค่ R99 เท่านั้น) ความแรงพอเหมาะ คุมแรงดีดไม่ยาก และศูนย์เล็งแบบไม่ติด Optics ก็เล็งได้ค่อนข้างง่าย แถมยังยิงได้แทบทุกระยะ ทำให้หลายครั้งมันจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับยกแรกที่ Material ยังน้อยอยู่ ถ้าใครมีปัญหากับการยิง Hemlock หรือ Flatline เลือก Volt มาใช้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเหมือนกัน

Prowler: อีกหนึ่ง SMG ที่หาได้เฉพาะใน Care Package เท่านั้น แน่นอนว่าแต่งก็จัดเต็มเช่นกัน แม้โอกาสในการได้มาครอบครองอาจจะยากเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะประสิทธิภาพในการใช้งานนั้นดีเยี่ยมอยู่แล้วนั่นเอง

Splitfire: แม้จะโดนลดจำนวนกระสุนเมื่อติดตั้ง Extend Magazine ในระดับ 3 ขึ้นไปและความแรงลดลงเล็กน้อย แต่ Splitfire ก็ยังคงเป็นปืนที่น่าเกรงขามอยู่เช่นเคย และยังสามารถซื้อมาใช้งานได้ในรอบต้น ๆ แม้การควบคุมแรงดีดของปืนจะลำบากสักหน่อยในรอบแรก ๆ ทว่าถ้าคุมได้ดีรับรองว่าเป็นปัญหาของฝ่ายตรงข้ามแน่นอน ซึ่งในภาพรวมก็ทำให้มันเหมาะสมกับการเป็นปืนในระดับ S Tier อย่างไม่ต้องสงสัย


Kraber & Triple Take: สองกระบอกสุดท้ายเป็นปืนจาก Care Package อีกเช่นกัน แม้อาจจะหาโอกาสใช้ได้ยากไปหน่อย แต่ด้วยความแรงระดับนัดเดียวจอด(Kraber) และความคล่องตัวในการยิงที่โดดเด่น(Triple Take) ทำให้มันสมควรที่จะอยู่ในระดับ S Tier ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ต้องเล็งให้ดี ไม่งั้นอาจเป็นการเสียเปล่าได้
Tier A
อาวุธในระดับนี้คืออาวุธที่ดี แต่อาจจะติดปัญหาเรื่องความยืดหยุ่นในการใช้งานในแต่ละรอบ แต่ในภาพรวมก็ยังคงเป็นอาวุธที่ดี เพียงแต่อาจจะต้องใช้ทรัพยากรในการลงทุนมากเสียหน่อย

Alternator: ปืน SMG จิ๋วคล่องตัวที่สามารถอัปเกรดได้ 1 ขั้นทันทีเมื่อซื้อในรอบแรก แม้อัตราการยิงจะไม่สูง แต่ก็เหมาะมากในการสู้ระยะประชิดกับระยะกลาง(ยกเว้นจะเจองัดด้วยปืนลูกซองซะก่อน) แต่ในรอบหลังมันอาจเป็นปืนที่ไม่น่าสนใจนัก เพราะด้วยทรัพยากรที่มากขึ้นจนซื้อปืนอื่นที่ดีกว่าได้ เพราะฉะนั้นเราจึงลดระดับมันลงมาที่ Tier A แทน แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นอาวุธที่น่าสนใจมากในรอบแรกของเกม

Flatline: อีกหนึ่งอาวุธที่ซื้อหาได้ในรอบแรกของการเล่น ด้วยความแรงที่น่าตกใจ และยิงสู้ได้ในหลายระยะ เพียงแต่ว่าแรงดีดของปืนนั้นค่อนข้างจะเป็นปัญหาสำหรับหลายคน ทำให้ Volt กลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ Flatline เองก็เป็นปืนที่สามารถเลือกเล่นได้ในทุกรอบของเกมหากมันเข้ามือคุณแล้ว แต่ก็ต้องใช้ฝีมือในการเล่นเสียหน่อย

EVA-8: ลูกซองกึ่งอัตโนมัติที่มีความเร็วการยิงเอาเรื่องเมื่อใส่ Shotgun Bolt ในระดับ 2 เป็นต้นไป เหมาะมากที่ซื้อมาใช้ในรอบแรกหรือรอบท้ายด้วยอัตราการยิงที่ไม่เลว รวมถึงทำให้ได้เปรียบอย่างสูงเมื่อปะทะกันในระยะประชิด รวมไปถึงมีราคาถูกกว่าลูกซองกระบอกอื่น ๆ อีกด้วย(ยกเว้น Mozambique ที่ซื้อได้ฟรี) ถ้าต้องการปืนยิงระยะประชิด EVA-8 ก็ถือเป็นปืนที่เหมาะมากทีเดียว

Bocek: เป็นอาวุธที่เรียกว่าใช้งานได้ดีทีเดียวในโหมดนี้ แม้จะยิงช้าไปหน่อย แต่ความแรงก็ยังอยู่ในระดับที่สะท้านทรวงอยู่ดี และผู้ใช้เองก็ต้องฝึกใช้งานไว้เสียหน่อยไม่อย่างนั้นอาจจะพลาดได้ง่าย ๆ แต่ถ้าฝึกยิงได้ดีแล้ว มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวในช่วงกลางเกม

Havoc: แม้จะไม่ได้ยืดหยุ่นแบบ Volt แต่ความแรงของมันก็ยังคงโดดเด่นไม่น้อย และแม้ราคาของมันจะไม่ได้แพงมาก แต่ถ้าให้เราแนะนำ ก็ขอแนะนำว่าให้รอจนกว่าจะมีเงินปลดไปถึงที่ซื้อ Turbocharger จะดีกว่า ไม่งั้นไม่น่ายิงได้ทันแน่ ๆ

Longbow DMR: Longbow ถือเป็นปืนที่เหมาะมากกับการยิงเคาะในระยะไกล ๆ โดยเฉพาะในฉากที่มีที่โล่งกว้างและที่สูงให้หลบ อีกทั้งยังสามารถซื้อมาใช้ได้เลยในรอบแรกด้วยราคาแค่ 400 Material เท่านั้น ถ้าทีมจะเน้นไปที่การยิงระยะไกล นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีมากกระบอกหนึ่งทีเดียว

R-99: ปืนกลมือที่มีอัตราการยิงสูงที่สุดในเกม ถ้าคุณเป็นผู้เล่นสายเข้าเร็วก็ถือว่าเหมาะมาก โดยเฉพาะในแผนที่ขนาดเล็กอย่าง Party Crasher ที่วิ่งเจอกันไวมาก ซึ่งในรอบกลางเกมที่ใส่เกราะม่วงกัน การมี R-99 ระดับสองขึ้นไปก็ถือว่าได้เปรียบมากในระยะประชิด แต่ค่าอัปเกรดอาจจะสูงหน่อย ซึ่งถ้าใครชอบวิ่งเข้าชาร์จก็อาจจะชอบเจ้าปืนกระบอกนี้ก็ได้

RE-45: เช่นเดียวกับ EVA-8 RE-45 นั้นมีราคาถูกและสอยมาใช้ได้ตั้งแต่รอบแรก ๆ และอาจจะยิงได้ง่ายกว่า R-99 ที่คุมค่อนข้างยาก ถ้าใครต้องการปืนคล่องตัวยิงง่าย RE-45 ก็เป็นปืนที่น่าสนใจเช่นกัน

Wingman: ปืนในดวงใจของใครหลายคน แม้ในโหมด Battle Royale อาจจะหาจังหวะใช้ยากไปนิด แต่ในโหมดที่เรามีโอกาสเจอศัตรูแบบตัวต่อตัวทำให้มันมีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ต้องระวังปืนที่ยิงได้ต่อเนื่องมากกว่าในหลายรอบที่ปะทะด้วย

Sentinel: อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับปืนยิงไกลที่เสริมความแรงจาก Shield Cell ได้ เหมาะกับคนที่ต้องการความแรงในหนึ่งนัดมากกว่าความต่อเนื่อง และถ้าแม่นยำมากพอ ก็สามารถตัดทรัพยากรของฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เลยทีเดียว

R-301: ยิงง่าย คุมง่าย โดนง่าย คือนิยามของ R-301 อย่างแท้จริง ซึ่งทุกอย่างของมันในระดับที่สองก็เพียงพอต่อการสู้ในทุกระยะอยู่แล้ว ติดแค่เรื่องเดียวคือค่าตัวของมันที่สูงเกินไปจนซื้อเล่นในรอบแรกไม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าหากมีเงินพอ นี่ก็ถือเป็นปืนที่เราแนะนำให้ใช้ถ้าไม่ติดเรื่องราคา
Tier B
ในระดับนี้คือปืนที่ยังคงเลือกมาใช้งานได้ เพียงแต่ว่ามีปืนที่ดีกว่ารอให้ใช้งานอยู่แล้ว ไม่ก็เฉพาะทางเกินไปจนไม่น่าใช้เท่าไหร่

Hemlock: เราไม่ปฏิเสธว่าความแรงของ Hemlock นั้นจัดจ้านขนาดไหน ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหาคือเรื่องของความแรงและอัตราการยิงที่มีกระบอกอื่นที่ทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว ซึ่งธรรมชาติในโหมด Arena นั้นไม่เข้าถึงตัวไวก็ดูเชิงกันจนวงบีบกันไปเลย แต่ถ้าถนัดมือ อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน

G7 Scout: เช่นเดียวกับ Hemlock ที่มีปืนอื่นทำหน้าที่ได้ดีกว่าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ได้เปรียบก็คือราคาเริ่มต้นที่ไม่ได้แพงนัก(350 Material) แต่ถ้าเจอกับทีมที่เข้าบุกแบบไม่สนใจ ประสิทธิภาพของมันก็จะด้อยลงไปด้วย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานได้ไม่มีปัญหาใด ๆ

Devoltion: น่าเสียดายที่เราต้องบอกว่า Splitfire ทำหน้าที่ได้ดีกว่ามาก แม้จะติดตั้ง Turbocharger เข้าไปแล้วและยิงได้รัวมากในช่วงท้าย แต่ในด้านความยืดหยุ่นก็ยังเทียบกันได้ค่อนข้างยาก แถมถ้าไม่มี Turbocharger ก็ใช้ยากเกินไปเสียอีก ดังนั้นเราแนะนำว่าผ่านไปเลยจะดีกว่า

Peacekeeper: แม้ PK จะเป็นปืนที่สร้างความเสียหายได้มหาศาล แต่ปัญหาเดียวที่ติดตัวมันก็คือราคาที่ค่อนข้างแพงมาก(500 Material) และยิงได้ช้า ทำให้โอกาสในการใช้งานน่าจะมีเพียงแค่ช่วงท้ายเกมเท่านั้น แต่ถ้าคิดว่าแม่นพอและมีเงินเหลือ ๆ ก็จัดไปอย่าให้เสีย

L-Star: อันที่จริง L-Star ถือเป็นปืนที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิดในโหมดนี้ ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล และการยิงรัวที่ประมาทไม่ได้เลย ทำให้มันเป็นปืนที่คุ้มค่าตัวมากสำหรับการเล่นรอบแรก แต่ก็อาจจะต้องระวังเรื่องความร้อนของปืนที่ไม่ควรยิงแช่ไว้นาน ๆ แต่โดยรวมก็ถือเป็นปืนที่ใช้งานได้ดีทีเดียว
C Tier
อาวุธในหมวดนี้คืออยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่ติดปัญหาใหญ่บางอย่างจนทำให้ไม่น่าใช้ และการลงทุนอัปเกรดก็ดูจะไม่คุ้มค่าอีกด้วย

Mastiff: อีกหนึ่งปืนลูกซองที่ยิงได้แรง แต่ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับ Peacekeeper คือราคาของมันค่อนข้างสูง(500 Material) และยังมี EVA-8 ที่ราคาถูกกว่าถึงครึ่งหนึ่ง มันเลยถูกละเลยไปโดยปริยายนั่นเอง

Mozambique: ข้อดีของมันที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นเรื่องของราคาที่ได้มาแบบฟรี ๆ แต่อย่างไรเสีย มันก็ยังไม่คุ้มค่ากับการอัปเกรดอยู่ดี แต่อย่างน้อยในภาพรวมก็ค่อนข้างจะดีกว่า P2020 ที่เป็นปืนฟรีอีกกระบอกหนึ่งเช่นกัน เพราะมันช่วยเก็บงานได้ในตอนที่กระสุนปืนหลักหมดลงได้ง่ายกว่านั่นเอง

30-30 Repeater: แม้ราคาของมันจะไม่ได้แพง แต่ทั้งความเชื่องช้า การบรรจุกระสุนและประสิทธิภาพที่ไม่ได้คุ้มอะไรมากนัก เลือกปืนอื่นที่อยู่ในประเภทเดียวกันอย่าง G7 Scout หรือ Longbow มาใช้แทนน่าจะดีกว่า
D Tier
เราไม่อยากใช้คำว่าปืนกาก แต่ปืนในระดับนี้อาจจะมีคนที่หยิบมาใช้งานได้ แต่ก็มีตัวเลือก "ที่ดีกว่า" ให้พิจารณาอยู่แล้ว ดังนั้นจะมองผ่านมันไปเลยก็ได้

Charge Rifle: โอเค มันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ในหมวดปืน Sniper ด้วยกัน Charge Rifle นั้นค่อนข้างใช้งานได้ยากไม่ว่าจะระยะไหน ยิ่งโดยเฉพาะในโหมดที่เรารู้อยู่แล้วว่าศัตรูสามารถซื้ออาวุธได้เหมือนกันกับเรา แถมโดนตามตำแหน่งได้ไม่ยากอีกด้วย ดังนั้นการยิงจึงต้องการความชัวร์มากกว่ายิงกราด แต่ถ้าถนัด Tier อาจจะขยับขึ้นไปที่ระดับ Tier C แล้วแต่คนก็ได้

P2020: นอกจากเป็นปืนฟรี เราก็นึกข้อดีอื่นของมันไม่ได้อีก อาจจะเอามาใช้เป็นปืนสำรองในรอบแรก แต่ถ้าให้เลือก Mozambique ค่อนข้างจะดีกว่ามาก ดังนั้นปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ
ทั้งหมดนี้คือ Tier อาวุธในความเห็นของเรา แต่ถ้าใครเห็นต่างและอยากพูดคุย ก็พูดคุยกันได้เลย!