
เมื่อพูดถึงซีรีส์แนวซามูไรในยุคใหม่ ที่มีการต่อสู้ที่ค่อนข้างสมจริง แต่การแต่งกายและเนื้อหาจะออกแฟนตาซีนิด ๆ หลายคนคงจะคิดถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากมังงะชื่อดังอย่าง ซามูไรพเนจร จนทำให้หนังแนวซามูไรของญี่ปุ่นเริ่มหยิบจับแนวทางนี้มาใช้บ้าง โดยเฉพาะฉากการต่อสู้ที่ไม่ใช่แค่การตั้งท่าแล้วฟันกันไม่กี่ทีรู้ผล แต่มันคือการต่อสู้ที่ใช้ดาบฟาดฟันกันอย่างรวดเร็ว กับเนื้อหาที่เข้มข้นจนหลายคนเริ่มชอบภาพยนตร์ซีรีส์แนวนี้ และซีรีส์ Last Samurai Standing หรือชื่อไทยเชย ๆ อย่าง ซามูไรผู้พิชิต ก็หยิบยกแนวทางนี้มาใช้ และได้ก็ใส่กลิ่นอายความเป็นแบทเทิลรอยัลและมีความเป็น Squid Game นิด ๆ มาผสม กับเรื่องราวของซามูไรที่ออกมาได้ค่อนข้างลงตัว เรามาดูกันว่าซีรีส์ Last Samurai Standing บน Netflix จะสนุกน่าสนใจขนาดไหนมาอ่านไปพร้อม ๆ กันเลย
ในส่วนของเนื้อเรื่องจะเป็นเรื่องราวในช่วงเมจิปลายศตวรรษที่ 19 (ยุคเดียวกับในภาพยนตร์ซามูไรพเนจร) ชูจิโร่ ซากะ อดีตนักรบกู้ชาติฉายามือพิฆาตโคคุชู (ถ้าอ้างอิงตามในซามูไรพเนจร พี่แกอยู่ฝั่งเดียวกับบัตโตไซ) หลังจากจบสงครามทางฝ่ายรัฐบาลเอาชนะโชกุนมาได้ ซามูไรก็เริ่มตกยุคเพราะมีปืนมาแทนที่ วันเวลาผ่านไปจากอดีตมือสังหารก็กลายมาเป็นคุณพ่อลูกสอง ที่มีลูกสาวกับเมียที่ป่วยเป็นโรคห่า อดีตมือสังหารที่ลูกเมียกำลังอดตาย ก็ได้เห็นประกาศรับสมัครซามูไรมาแข่งขันในเกมปริศนา พร้อมเงินรางวัล 10 หมื่นเยนที่เงินนี้สามารถช่วยคนลูกเมียจากโรคห่าและความอดยากได้ มือพิฆาตโคคุชูที่เป็นแพนิคจากสงครามก็ร่วมลงแข่งพร้อมซามูไรอีก 292 คน ในเกมนี้ พวกเขาต้องเดินทางไปเกียวโตในเวลา 1 เดือนและสะสมป้ายชื่อของซามูไรที่ฆ่าเพื่อผ่านด่าน การเอาชีวิตรอดการแก้แค้นและปริศนาของผู้จัดจะเป็นอย่างไรไปดูกันได้

เริ่มจากเนื้อหาถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ซามูไรพเนจรมาก่อน จะเห็นภาพรวมของซีรีส์นี้ทันที เพราะทั้งเนื้อหาเรื่องราวไปจนถึงฉากทั้งหมดคือยุคเดียวกัน แค่ตัวละครในเรื่องจะไม่แต่งตัวดูแฟนตาซีแปลกตาเท่านั้น ทุกคนจะแต่งตัวบ้าน ๆ แต่ดูเท่ในแบบญี่ปู๊นญี่ปุ่น และสิ่งแรกที่เราจะได้พบก็คือความอืดของเนื้อเรื่องในช่วงแรก ที่ต้องปูบอกเล่าเรื่องราวของ ซากะ ก่อนว่าพี่แกคือใครมีปมอะไรเกี่ยวกับสงคราม และทำไมพี่แกถึงต้องออกมาแข่งเกมนี้ ซึ่งหลังจากที่เริ่มเข้าแข่งเกมความสนุกก็เริ่มขึ้น เมื่อตัวเอกเรามีอาการแพนนิคจากการรอดตายในสงครามจนไม่สามารถชักดาบได้ แถมต้องกระแตงเด็กสาวที่วิชาต่อสู้เท่ากับ 0 ไปด้วย (ใครก็สามารถลงแข่งได้ขอแค่มีอาวุธและความกล้า) เนื้อหาเลยสนุกมากขึ้น โดยการฆ่ากันนั้นต้องชิงแผ่นป้ายของคนที่แพ้มาพร้อมกติกาต่าง ๆ มากมายที่ดูแล้วให้อารมณ์ Squid Game นิด ๆ อันนี้คือดีงาม

ในส่วนของกติกาใหญ่ ๆ ที่ต้องรู้เลยคือ ต้องฆ่าหรือชิงแผ่นป้ายที่แขวนคออีกฝ่ายมาให้ได้ ถ้าใครที่ถูกชิงแผ่นป้ายไปครบ 10 วินาทีจนถูกฆ่า (มีคนถือปืนเล็ง) ทุกคนต้องเดินทางไปเกียวโตในเวลา 1 เดือนพร้อมสะสมป้ายชื่อ หรือก็คือต้องฆ่ากันเองระหว่างเดินทาง ระหว่างทางจะมีจุดเช็คว่าต้องมีป้ายครบตามกำหนดถึงจะไปต่อได้ ห้ามบอกใครเกี่ยวกับการแข่งนี้ คนที่ผ่านรอบสุดท้ายจะต้องมีป้ายชื่อ 30 ชิ้นจะได้เงินรางวัล นั่นคือกติกาคร่าว ๆ ที่เราควรรู้ และถ้าคุณสงสัยว่าแล้วถ้าคนเล่นแอบถอดป้ายไม่ก็หนีละ หรือถ้าสะสมแผ่นป้ายไม่ผ่านชุดเช็คต่าง ๆ จะเป็นยังไง แล้วไอ้พวกผู้จัดมันจะรู้ผลการแข่งยังไง อันนี้ทางผู้สร้างซีรีส์คิดเอาไว้หมดแล้ว ซึ่งส่วนนี้โอเคมาก ๆ เป็นการดัดแปลงระบบของ Squid Game กับภาพยนตร์ Battle Royale มาใช้ได้อย่างลงตัว อีกสิ่งที่ต้องชื่นชมคือตัวละครที่แต่ละตัวมีปมมีมิติมีความหลากหลาย และหลายตัวละครจะมาเพื่อ แบบปูมาอย่างดีมีย้อนอดีตโหงวเฮ้งตัวเต็งแน่ ๆ มาถึงอ้าว บางตัวก็ช่วยลุ้นอย่าตุยนะ บางตัวก็ด่าว่าเมื่อไหร่เอ็งจะตุยซะทีรำคาญก็มี และหลายตัวก็กั๊กเอาไว้เพื่อไปต่อองค์ 2 (ซีซัน 2)

คราวนี้มาดูข้อเสียกันบ้างนั่นคือตัวบท และการเติบโตของตัวละคร เริ่มจากตัวละครพระเอกที่เราได้เห็นความเป็นคนขี้แพ้ของอดีตมือพิฆาตในตำนานที่ฝีมือดาบโคตรเก่ง แต่ต้องมากราบก้มหัวเอาดาบมาจำนำเพื่อหาข้าวปลาให้ลูกเมียที่ป่วย แถมตัวเองยังเป็นแพนนิคจากการรอดตายในสงครามครั้งสุดท้าย ที่มีปืนกับปืนใหญ่มาแย่งงานซามูไร ในช่วงแรกเราเลยจะเห็นการไม่กล้าไม่เอาไม่สู้แบบหนีไปปกป้องเด็กสาวไป ที่อาจจะดูขัดตาชวนหงุดหงิด แต่พอพี่แกเริ่มหายกลัวกลับมาเก่งปุ๊บ อาการขี้เก็กแบบพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นก็มาทันที แบบพรี่ครับเมื่อกี้พรี่ยังมือสั่นเหมือนคนขาดขอ แต่พอชักดาบสู้ปุ๊บอาการมือสั่นขาดของพี่หายเลย และเปลี่ยนนิสัยจากคนที่ระแวงต้องเอาใจช่วย มาเป็นพระเอกมังงะญี่ปุ่นที่ขี้เก็กพูดน้อยสู้เก่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังนอบน้อมก้มกราบแม้แต่คนที่เคยช่วยชีวิตในอดีต แบบนิสัยเปลี่ยนไปเร็วเกิ๊นจนเราลืมไปเลยว่าพี่แกเคยมีอาการแพนนิคจากสงคราม

อีกสิ่งที่ควรเป็นข้อดีที่ต้องชมแต่มันก็ต้องไปรวมกับข้อเสีย นั่นคือตัวละครหญิงน่ารักแบบน่ารักม๊ากกกก คือคนสร้างรู้ว่าคนดูต้องการอะไรและอยากให้เป็นแบบไหน เลยจัดตัวละครหญิงแบบน่ารักที่ควรปกป้องกับตัวละครหญิงสวยน่ารักที่โคตรเก่ง ที่เราต้องคอยลุ้นว่าเจ๊คนสวยแต่เก่งจะรอดไหม (อีกคนไม่ต้องลุ้นเพราะดูยังไงก็รอด) และที่แอบขัดใจคือทำไมตัวละครชายมันหัวกระเซิงตัวเปียกเหงื่อ แต่ตัวละครหญิงทุกคนกลับสวยน่ารักใสปิ๊งตลอด แต่เรื่องนี้ไม่หนักเท่าบทที่เหวี่ยงไปมา เริ่มจากชีวิตพระเอกที่ต้องมาลงแข่งเกม พระเอกมีอาการแพนนิค พระเอกหายแพนนิค เล่าถึงตัวละครคนอื่น ๆ ที่มาแข่ง อันนี้คือน่าสนใจ แต่พอหลังจากนั้นมันก็เริ่มทิ้งเนื้อเรื่องตัวเอง จากแข่งเกมเพื่อเอาเงินมาเป็นการหาตัวผู้จัดงานนี้ว่าคือใคร ศัตรูเก่าของพระเอกมาแก้แค้น ศิษย์พี่ศิษย์น้องมาตามกระทืบพี่แก จนแทบไม่เป็นการแข่งเกมแต่เป็นเรื่องราวการแก้ปมของพระเอกมากกว่า จนเราแอบคิดว่างานแข่งนี้จัดมาเพื่อพระเอก ทั้งที่พระเอกเราก็เป็นแค่คนที่บังเอิญมาร่วมงานแข่งเท่านั้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะพุ่งมาหาพี่แกคนเดียว แถมพระเอกเราก็เลิกสนใจเงินเปลี่ยนมาเป็นจะจัดการคนจัดงานแทน แบบมันก็โอเคดีในแง่รวม แต่หัวใจหลักคือการต่อสู้ชิงแผ่นป้ายแต่มันกลับไม่สนใจเรื่องนี้ และหันไปเล่าศัตรูศิษย์พี่ศิษย์น้องปมในอดีตพระเอกที่เหมือนทุกอย่างมารวมกันที่พี่แกคนเดียว แถมพี่แกก็พร้อมกับและจัดการทุกอย่างยกเว้นแข่งเกม (สงสัยพี่แกคงลืมไปว่าลูกเมียนอนป่วยที่บ้าน)

ในส่วนของตัวละครอื่นก็มีการบอกเล่าเกี่ยวกับรัฐบาลที่ตามสืบว่าใครเป็นคนจัดงานนี้ ซึ่งพอเฉลยมันดูไม่ว๊าวเลย แบบคนนี้หรออืมโอเคแบบแค่นั้นจริง ๆ มันไม่เหมือน Squid Game ที่พอเฉลยคนจัดงานทุกคนเฮ้ยว๊าวมาก ๆ แต่นี่พอเฉลยอ๋อตานี่หรออืมโอเค แถมแผนการเบื้องหลังการแข่งเกมก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือเอาคนรวยมาดูงานแข่งแบบใน Squid Game แต่มันมีเบื้องหลังอีก ซึ่งไอ้เบื้องหลังมันก็ดูงั้น ๆ แบบคนดูเดาทางได้ง่าย ๆ เหมือนปูมาอย่างดีแต่สุดท้ายก็ไปตามสูตรสำเร็จแบบการ์ตูนญี่ปุ่น คือมันแบนราบไม่น่าสนใจต่างกับตอนแรกที่เป็นแนวซามูไนแข่งเกมฆ่ากันเอง แต่ช่วงหลังมาเป็นซามูไรพเนจรเฉย ซึ่งมันซ้ำซากในครึ่งหลัง

ถ้าให้สรุป Last Samurai Standing ครึ่งแรกคือความแปลกใหม่ตัวละครน่าสนใจเนื้อหาดี ครึ่งหลังมันตามสูตรพระเอกคือรับจบทุกงานเป็นฮีโรที่พึ่งพาได้และไม่มีทางแพ้ ต่างกับตอนแรกที่ลุ้นว่าพี่แกจะเก่งตอนไหน ส่วนตัวละครอื่นก็แอบเอาใจช่วยว่าอย่าตุย บางตัวก็แช่งให้ตายเร็ว ๆ บางตัวมาทำไมครับพี่ ส่วนเสียงพากย์ไทยดีงามไม่ต้องติอะไรเยอะ นักแสดงเล่นดีตัวละครโคตรเท่และมีต่อซีซัน 2 ซึ่งเอาจริง ๆ มันจบในซีซันเดียวได้เลย แต่ซีรีส์พยายามยืดด้วยการย้อนอดีตที่บางทีไม่ต้องมีก็ได้ แต่โดยรวมดูเพลิน ๆ โดยเฉพาะตอนสู้ดีงามมาก ๆ ขอให้คะแนน 7.2 เต็ม 10 จัดไป 5 คะแนนฉากต่อสู้ ที่เหลือตัวละครหญิงน่ารักน่าปกป้องกับเนื้อเรื่องครึ่งแรกที่น่าสนใจ ส่วนคนที่สนใจแนวซามูไรต้องการหาซีรีส์สนุก ๆ ดูมีพากย์ไทยก็ไปดูกันได้ทาง Netflix ตอนนี้ได้เลย