
เชื่อว่าหลายคนที่ติดตั้ง Netflix พอเปิดหน้าแรก ๆ มาเรามักจะเห็นโฆษณาซีรีส์เรื่องใหม่อย่าง สงครามส่งด่วน เรื่องนี้โชว์ขึ้นให้เราได้ดู หรือบางทีก็อาจจะเห็นจากในสื่อต่าง ๆ ที่โปรโมทเยอะมาก ๆ ที่ตัวเรื่องจะเกี่ยวกับสงครามการส่งสินค้าที่พอดูก็รู้เลยว่า มันคือเรื่องราวจากขนส่งที่ไหนกับที่ไหนทำสงครามกัน โดยตัวเรื่องบอกว่าสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง พอเป็นแบบนั้นเรื่องราวเลยค่อนข้างน่าสนใจ และยิ่งรู้ว่าเป็นซีรีส์ของทาง GDH ด้วยยิ่งรับประกันความสนุกน่าสนใจมากขึ้นไปอีก พอได้ดูจนจบสิ่งที่ได้ก็คือคำคมสอนใจกับการอ่านซับภาษาไทยจนนึกว่าดูซีรีส์จีนอยู่ เรามาดูกันว่าซีรีส์ สงครามส่งด่วน จะสนุกน่าสนใจขนาดไหนมาดูไปพร้อมกันเลย
เรื่องราวจะกล่าวถึง สันติ เด็กดอยที่ชีวิตยากจนอาศัยยิงนกจับหนูกินเลี้ยงแม่และน้อง ๆ แต่สิ่งที่สันติมีแต่คนอื่นไม่มีคือการเรียนภาษาจีนจากแม่ เลยทำให้เขาสามารถอ่านเขียนพูดภาษาจีนได้ บวกกับความคิดที่อยากรวยอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง เพราะเป็นลูกน้องเขาชาติหน้าก็ไม่รวย เขาจึงใช้ความสามารถในการเข้าหาผู้คน และจิตวิทยาในการสื่อสารสร้างธุระกิจให้ตัวเอง ตั้งแต่การช่วยเถ้าแก่ขายทรายให้ก่อสร้างรายใหญ่ โดยการเช่าสัญญาบ่อทรายโดยรอบให้หมดและให้ทุกที่ส่งทรายมาที่ตน พอเหลือเจ้าเดียวก็สามารถโก่งราคาเป็นเท่าตัวได้ หรือจะเป็นการขายหมอนยางพาราให้ทัวร์จีน ของที่ไม่จำเป็นแต่ทัวร์จีนก็ซื้อแบกกลับประเทศได้ แต่ทุกอย่างก็ไม่ทำให้สันติพอใจ จนเขาไปเจอการขนส่งของจีนที่เริ่มต้นเพียงไม่กี่หยวนที่คิดเป็นเงินไทยเพียง 23 บาท สันติจึงจะเอาสิ่งที่เจอมาสร้างเป็นขนส่งตัวเองก่อนจะถูกหักหลัง (เนื้อเรื่องตามตัวอย่าง) สงครามขนส่งที่เป้าหมายคือการแก้แค้นจึงเริ่มขึ้น

ตัวซีรีส์จะเริ่มต้นตั้งแต่นับ 1 ที่บอกเล่าชีวิตของสันติที่เติบโตมากับคำว่า "มึงมันไร้ค่า มึงมันจน มึงมันไม่มีอนาคต" ฝังหัวสันติเรื่อยมา ซึ่งในตอนแรกพี่แกก็คิดแบบนั้นและยอมรับชะตากรรม จนวันหนึ่งชีวิตของสันติก็เปลี่ยนไปเมื่อเจอกับเจ้าสัวที่มาสัมมนาให้นักศึกษาฟัง ทางเจ้าสัวถามว่าคุณในที่นี่มีใครอยากขายอะไรให้ผมบ้าง สันติบอกว่าจะขายเก้าอี้ให้คุณเพราะคุณยืนนานแล้ว ผมขายให้คุณ 10000 บาท เจ้าสัวจึงถามคนอื่นว่ามีคนให้น้อยกว่านี้ไหม ก็มีคนเสนอราคาที่ถูกลงมาเรื่อย ๆ เจ้าสัวเลยบอกว่าถ้าคิดจะเริ่มต้องดูคู่แข่งด้วย แต่สันติคิดต่างและบอกว่า ถ้าผมเป็นเจ้าของเก้าอี้ทั้งหมดผมก็สามารถตั้งราคาของตัวเองได้โดยไม่มีคู่แข่ง นั่นคือการเจอกันของโชคชะตาของทั้งคู่ ที่กว่าจะเข้าสู่เนื้อหาสงครามขนส่งจริง ๆ ตามในตัวอย่างต้องใช้ถึง 2 ตอนเต็ม ๆ เพื่อปูเนื้อเรื่องตัวละคร

ซึ่งระหว่างที่ปูเรื่องราวของสันติที่กว่าจะเข้าสู่สงครามการขนส่ง เราจะได้เห็นการเติบโตของสันติจากเด็กขนทรายมาเป็นหุ้นส่วนขนส่งระดับหมื่นล้านก่อนจะถูกหักหลัง (อันนี้มีพูดถึงในตัวอย่าง) ซึ่งด้วยความที่เป็นซีรีส์จึงมีหลาย ๆ ฉากที่ไม่ต้องมีก็ได้แต่ก็ใส่ลงมา อย่างการย้อนอดีตของสันติหลาย ๆ ช่วง ที่ต้องการบอกเราให้รู้ว่าชีวิตสันติผ่านอะไรมา รวมถึงฉากสวมชุดแต่งงาน ซึ่งเอาจริง ๆ 2 ตอนแรกในการปูเรื่องถ้าเป็นในภาพยนตร์ชั่วโมงเศษจะใช้เวลาเล่าพวกนี้เพียงไม่กี่นาที เพราะเมื่อดูจนจบคุณจะรู้เลยว่านี่เป็นการเอาภาพยนตร์ที่ฉายชั่วโมงเศษ ๆ มาขยายเป็น 7 ตอน แต่มันคือ 7 ตอนที่โอเคไม่น่าเบื่อแถมสนุกดูได้เรื่อย ๆ แต่ในซีรีส์ต้องมีเพื่อคั่นเวลาให้ตอนมันยาวพอจะไปถึง 7 ตอนได้อันนี้คือเข้าใจ

และพอเนื้อเรื่องถูกขยายออกมาแต่หลาย ๆ จุดที่ควรขยายบอกคนดูทางซีรีส์ดันข้ามไป อย่างสันติที่ขยันทำงานมีเงินเก็บ ซึ่งถ้าวัดตามปกติเงินที่สันติมีมันพอที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีได้เลยกับสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่สันติกลับเอาเงินไปต่อเงินเรื่อย ๆ จนแอบสงสัยว่าพี่แกมีเงินเยอะแค่ไหนกัน ทำไมไม่พูดถึงเรื่องเงินเลยชนิดที่ว่าเอามาโปรยบนทางด่วน (โปรยทำไมไปดูเอาเอง) ไปแล้ว กลับยังมีเงินมากพอมาตั้งสำนักงานระหว่างรอนายทุน พี่แกไปเอาเงินที่ไหนมาจ้างพนักงาน จ่ายนั่นนี่ที่ถ้านับจริง ๆ ในเนื้อเรื่องก็หลายเดือนอยู่ และพอได้เงินทุนปุ๊บก็ก้าวกระโดดมาทำขนส่งเลย ส่วนนี้ที่น่าจะเล่าจะอธิบายกลับไม่มี

คราวนี้มาดูตัวเรื่องที่ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์ของทาง GDH หรือ GTH เก่ามาก่อนคุณจะพอจับจุดตัวละครได้ว่าต้องมาทรงไม่บ้าบิ่นก็ต้องเป็นคนที่โคตรโชคดีก่อนจะพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด และลงดิ่งต่ำสุดก่อนจะเอาคืนได้ในตอนท้าย ซึ่งมันคือสูตรสำเร็จตายตัวของทางค่ายนี้ที่ทำกับภาพยนตร์ ซึ่งถ้าถามว่ามันโอเคไหมก็โอเคแต่สำหรับคนที่ดูหนังมาเยอะมันคือเดาทางได้ทันที ยิ่งตัวพระเอกที่เป็นพวกบ้าท้าชนกล้าลุยกล้าเสี่ยง นางเอกที่มาเป็นผู้ช่วยบวกเพื่อนที่คอยสนับสนุนยิ่งทำให้มันตามสูตรไปอีก นี่ยังไม่นับตัวร้ายที่หาทางแกล้งฝ่ายพระเอกก็เป็นตัวร้ายตามสูตรซ้ำไปอีก จนแอบสงสัยว่าถ้านี่มันสร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงมันก็ดูตามสูตรไปหน่อย แบบแค่เห็นแผนการตัวร้ายก็รู้เลยว่ามันจะมาทางไหนและพระเอกจะแก้ทางยังไง

อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงคิดว่า GDH หมดมุกเลยต้องใช้สูตรเดิม ๆ นี้ในการทำซีรีส์ ส่วนตัวไม่คิดแบบนั้น และดูเหมือน GDH น่าจะรู้เรื่องนี้ดีว่าเรื่องตัวเองมันตามสูตร แต่การเปลี่ยนเนื้อหาแบบหักมุมหรือเล่าเรื่องที่แหวกแนวกว่านี้ ทางเขาน่าจะรู้และอยากทำแต่บ้านเรามันยังขายไม่ได้ เพราะคนส่วนมากยังติดกับแนวโครงเรื่องแบบนี้ และโครงเรื่องแบบพระเอกบ้าบิ่นขึ้นสุดลงสุดก่อนเอาคืนตอนท้าย มันก็เป็นสิ่งที่คนดูบ้านเราชอบ ไม่อย่างนั้นละครฟ้ามีตาหรือแนวลูกสะใภ้ดีเอาชนะใจแม่ผัวก็ยังขายได้ในยุคนี้ กลับกันละครซีรีส์แนวแปลกแหวกแนวแม้จะได้รับคำชมแต่คนดูไม่เยอะเท่าพวกเนื้อเรื่องตามสูตร ทาง GDH ก็ต้องเลือกทางนี้แม้จะมีคนจับได้แต่ตราบเท่าที่คนดูชอบก็คงต้องทำต่อไป

สรุปซีรีส์ สงครามส่งด่วน เป็นซีรีส์ที่ดูได้เรื่อย ๆ ตัวละครมีมิติน่าสนใจและหลายตัวก็ขโมยซีนแบบเอาฮาตามแบบ GDH ที่ลงตัวสุด ๆ จะมีติบ้างตรงที่ตัวละครพูดไม่ชัด แบบตอนที่เจ้าสัวพูดว่าผมขอจ่ายค่าเสือกแล้วกัน ตอนนั้นต้องย้อนกลับไปฟัง 2 รอบและเปิดซับไทยเพื่ออ่าน อีกอย่างที่ขอแซวคือภาษาจีนเยอะมากจนนึกว่าดูซีรีส์จีน (ฮา) ตัวเรื่องสนุกดูได้เรื่อย ๆ ไม่ดีไม่แย่ เสี่ยวหยู น่ารักมากทุกซีนที่เธอออกมาโดดเด่นตลอด ในส่วนขอคะแนนขอให้ 7.5 เต็ม 10 ไม่ดีไม่แย่ตามสูตรสำเร็จไปหน่อยเนื้อเรื่องเดาง่าย คะแนนเทไปทางน้องเสี่ยวหยูล้วน ๆ (ฮา) ใครสนใจไปดูได้ทาง Netflix ตอนนี้เลยมาครบ 7 ตอนทีเดียว แล้วคุณจะรู้ว่า "การถอนขนไก่กับถอนขนนกใช้เวลาเท่ากัน แต่ไก่ให้เนื้อเรามากกว่า" มันคืออะไร