
เมื่อพูดถึงภาพยนตร์แนวที่คนสร้างไม่ค่อยทำออกมา แต่พอทำออกมาก็มักจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีไปจนถึงกลาง ๆ นั่นคือภาพยนตร์แนวแก้แค้นเอาคืน ประมาณว่าตัวเอกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไม่น่าให้อภัย จนเวลาผ่านไปตัวเอกก็เริ่มเอาคืนคนเหล่านั้น ที่เนื้อเรื่องส่วนมากก็จะวน ๆ อยู่ที่การฆ่าครอบครัวหรือถูกทำร้ายพอรอดมาได้ก็เอาคืน หรือการหักหลังจนต้องมาล้างแค้น ที่เนื้อเรื่องก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่เท่านี้ แต่ทำไมมันถึงขายได้และยังมีเรื่องแนวนี้ออกมา นั่นก็เพราะเนื้อหาของการได้ช่วยตัวเองเอาคืน มันคือความสะใจของคนดูประมาณว่าทำอะไรไว้ก็รับผลนั้นไป ยิ่งเป็นหนังแอ็กชันบู๊แหลกเลือดสาดคนดูยิ่งชอบ เหมือนอย่างเรื่อง เมืองอสูร Demon City ก็เหมือนกันที่เนื้อเรื่องตามสูตรแต่ก็สนุกสะใจ จนเราอยากรู้ว่าพี่แกจะเอาชนะตัวร้ายยังไง เรามาดูรีวิวกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มันจะสนุกน่าสนใจดีหรือแย่ขนาดไหนมาดูกัน
สิ่งแรกที่เราอยากแนะนำให้รู้ก่อนเลยก็คืออย่าไปดูตัวอย่างที่หนังฉายออกมา โดยเฉพาะตัวอย่างวิดีโอที่เราแปะข้างบน (แล้วจะแปะมาเพื่อ) หรือถ้าคุณดูไปแล้วความรู้สึกเฮ้ยจริงดิจะหายไป 30% เลยทีเดียว ที่เป็นแบบนี้เพราะผู้เขียนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนจะดูตัวอย่าง เลยรู้สึกเฮ้ยกับสิ่งที่ในเรื่องบอกออกมา และพอดูภาพยนตร์จบก็ไปดูตัวเองเลยเข้าใจ ว่าถ้าเราไปดูตัวอย่างเราจะถูกสปอยล์เนื้อหาสำคัญไป จนแอบคิดว่าทำไมคนตัดตัวอย่างถึงเอาส่วนนี้มาใส่ในตัวอย่าง ทั้งที่มันน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งในเรื่องเลยทีเดียว

ในส่วนของเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงนักฆ่าในตำนานที่มีชื่อว่า ซาคาตะ เขาคือนักฆ่าที่สามารถบุกเดี่ยวพร้อมมีดคู่ใจ ไปทำลายทั้งแก๊งเฟียได้แบบชิว ๆ โดยที่มีบาดแผลถลอกนิดหน่อย และงานที่เขาทำในวันนั้นคืองานสุดท้ายที่ซาคาตะจะทำ ก่อนไปเริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา โดยมีภรรยาและลูกที่เป็นกำลังใจให้ แต่แล้วงานสุดท้ายในวันนั้นก็จบลงจริง ๆ เมื่อจู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายสวมหน้ากากปีศาจทั้ง 5 คนบุกมาที่บ้าน โดยที่พวกนี้ไม่ได้มีความแค้นหรือโกรธเกลียดซาคาตะเลย เป้าหมายของพวกมันคือการกำจัดนักฆ่าในตำนานทิ้ง เพราะถ้าให้ซาคาตะยังมีชีวิตอยู่อาจจะเป็นเสี้ยนหนามในอนาคตได้ หลังจากนี้ทุกคนคงจะเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น จนเวลาผ่านมา 12 ปีการแก้แค้นแบบปีศาจล่าปีศาจก็เริ่มต้นขึ้น นั่นคือเรื่องราวของ เมืองอสูร เรื่องนี้

เริ่มจากตัวเรื่องอย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นแล้วว่า ภาพยนตร์ซีรีส์ละครแนวแก้แค้นมันจะมีเนื้อเรื่องอยู่ไม่กี่แบบ ซึ่งในเมืองอสูรก็เลือกใช้แบบการฆ่าครอบครัวแต่ตัวเองดันรอดเลยหาทางแก้แค้น แต่คนเขียนบทผู้กำกับที่รู้ว่าคนดูคงจะเบื่อเนื้อเรื่องแบบนี้ ทางนั้นเลยใส่ความน่าสนใจของเรื่องนี้ลงไปว่า การแก้แค้นมันไม่ได้เริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แต่มันจะเริ่มต้นหลังจากนั้นถึง 12 ปีเลยทีเดียว ซึ่ง 12 เดือนที่ผ่านมาซาคาตะก็ป่วยนอนเป็นผักในคุกโรงพยาบาล พอพ้นโทษพี่แกก็ยังเป็นผักอยู่แบบนั้น เพราะอาการช็อคจากสิ่งที่เห็นในตอนนั้น เขาไม่มีความรู้สึกอยากแก้แค้นหรือโกรธเกลียดเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งตัวร้ายมันเริ่มต้นปลุกปีศาจที่หลับไหลให้ตื่น ประมาณเดียวกับเรื่อง Kill Bill ที่ถ้าตัวร้ายไม่ทำอะไรตัวเอกคงนอนเป็นผักไปตลอดชีวิตไปแล้ว

ต่อมาคือฉากต่อสู้ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องนี้ ที่ถ้าดูแบบผ่าน ๆ มันคือการต่อสู้แบบคนอึดไม่กลัวคายไม่กลัวเจ็บเดินหน้าอัดแหลก ที่ต่างกับหนังแอ็กชันทั่วไปที่ตัวเองพอโดนถีบ โดนไล่ยิงโดนรุมจะมีเสียหลักมีหนีมีล้มแบบใน John Wick แต่ในเมืองอสูรจะต่างออกไป เพราะตัวเอกเราเดินหน้าอัดแหลกแบบล้มรีบลุกยิงก็เอามีดบัง ตีมาก็นิ่งไม่เจ็บไม่กลัวไม่หนี เอาง่าย ๆ คนถูกตีไม่เป็นอะไรแต่คนตีเหนื่อย ซึ่งดูแปลกสนุกบ้าดีเดือดดี แต่มันก็มาพร้อมกับความไม่สมจริงโดยเฉพาะการถ่ายทำที่หลายฉากถ้าดูดี ๆ เราจะเห็นมีงอไม้ที่บิดผิดรูปตอนตีที่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่เหล็ก หรือการฟันการเฉือนที่ดูบาง ๆ ไม่ฟันขาดหรือเจ็บแบบในหนังแนวนี้ที่ควรมี แถมการต่อสู้บางทีก็ดูเว่อร์วังไปหน่อย แบบในโลกแห่งความเป็นจริงเจอแบบนี้เราคงตุยไปตั้งแต่โดนกระทืบครั้งแรกแล้ว แต่ตัวเรื่องนี้กะดูเอามันสะใจมากกว่า

อีกหนึ่งจุดขายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่นอกจากความอึดถึกของพระเอก กับความเว่อร์ในฉากต่อสู้แล้ว อีกหนึ่งจุดขายคือเนื้อเรื่อง ที่บอกเราว่าตั้งแต่ที่พระเอกฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วยหลังจากนอนเป็นผักมา 12 ปี พอได้กินมันจูที่เคยกินสมัยที่เมียทำให้ในคืนนั้น พี่แกก็ฟื้นคืนพลังลุยเดี่ยวจัดการศัตรูแบบไม่หยุด คือมีหยุดบ้างเพื่อให้เนื้อเรื่องมันเดินต่อเพื่อไปยังจุดต่อไป แต่มันก็เป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง และในช่วงท้ายคือสู้ไม่หยุดจริง ๆ แบบสู้ตรงนี้เสร็จบาดเจ็บเจียนตายก็ไปสู้ต่อทันทีแบบไม่พัก ซึ่งในหนังก็บอกเราตลอดเรื่อย ๆ ว่าเมืองนี้มันมีปีศาจที่หลับไหลอยู่ ทุก ๆ 50 ปีปีศาจจะถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือปีศาจแห่งความแค้นของพระเอกเรานั่นเอง หรือพูดง่าย ๆ คือความแค้นเป็นตัวผลักดันให้สู้ต่อไป ไม่หยุดไม่เจ็บและยังไม่ตายตอนนี้ ล้มก็ลุกขึ้นมาลุยต่อจนกว่าจะฆ่าพวกมันจนหมด นั่นคือหัวใจหลักของเรื่องนี้

ในส่วนของตัวร้ายกก็บอกเลยว่าแบนราบไม่มีมิติ มันก็แค่ตัวร้ายที่ทำอะไรโง่ ๆ เพื่อรอพระเอกมาแก้แค้น กับเหล่าตัวประกอบที่ยืนรอจังหวะเข้าไปโดนฆ่าที่ดูแล้วก็แอบขัดใจ กับความไม่สมเหตุสมผลของเรื่อง อย่างเมืองที่เน่าเฟะแต่คนกลับอวยว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ จะสร้างสถานบันเทิงในเมืองแต่คนในเมืองใช้ชีวิตยังกับอยู่ในเมือง ก็อตแธม ในเรื่อง Bat Man (แบบนี้ใครจะกล้ามาเที่ยว) แถมตำรวจก็มีเหมือนไม่มี สู้กันฆ่ากันระเบิดตุมตายเป็นเบือไม่มีคนรู้ไม่มีใครในเมืองสนใจ พระเอกเราไม่ต้องหนีการตามล่าไม่ต้องแอบแค่เดินไปบุกสู้ฆ่าให้หมดเสียงปืนดังเป็นประทัดตำรวจก็ไม่มา ที่คิดแล้วก็แอบตลกแม้จะรู้ว่าตำรวจเป็นพวกตัวร้ายก็เถอะ

มาถึงตรงนี้ถ้าคุณถามว่าภาพยนตร์เรื่องเมืองอสูรน่าสนใจไหม ก็คงบอกว่าอยู่ในระดับโอเคพอดูได้ ตัวเรื่องเน้นความสนุกสะใจกับการลุยเดี่ยวถล่มกองทัพ และมีเนื้อเรื่องให้เราได้เฮ้ยได้เอะได้อ้าวนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นน้ำจิ้ม อย่าไปนั่งจับผิดหาเหตุผลในหนังแนวนี้ (ที่พูดเขียนเอามาพูดเหมือนจับผิด เพราะมันคือสิ่งที่เราต้องบอกให้คนอ่านรู้) ดูเอาสนุกดูเอามันสะใจก็พอนั่นคือหัวใจหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนคะแนนก็ขอให้ 6.5 เต็ม 10 ตัดเรื่องฉากแอ็กชันที่ดูบางเบาไม่สับชิ้นส่วนกระจายแบบที่หวัง (มืดมันทื่ออันนี้เข้าใจแต่น่าจะฟันเฉือนได้แรงกว่านี้) กับตัวประกอบที่รอจังหวะมาตี และปืนในเรื่องนี้มันเป็นปืนปลอมรึไงถึงยิงไม่โดนพระเอกเลย แต่พระเอกเข้าหัวตัวประกอบทุกนัด ใครชอบดูหนังแนวบู๊สนุก ๆ กินข้าวไปดูไปบอกเลยว่าไม่ควรพลาด