
เมื่อพูดถึงซีรีส์เกมเก่าที่มีอายุมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยเครื่อง Famicom มาจนถึงตอนนี้ที่มีการเปลี่ยนถ่ายเครื่องเกมมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ก็มีเพียงไม่กี่เกมเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดยังมีภาคต่อออกมาให้เราได้เล่น หนึ่งในนั้นคือซีรีส์ภารกิจมังกรอย่าง Dragon Quest ที่ตั้งแต่ภาคแรกซึ่งได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นจึงทำให้เกิดภาคต่อออกมามากมาย ซึ่งในอดีตช่วงปี 1986 ที่ Dragon Quest ภาคแรกโด่งดังเป็นพลุระเบิดในญี่ปุ่น ก็มีการเอาซีรีส์ Dragon Quest ไปทำเป็นสื่อต่าง ๆ มากมายเพื่อโปรโมทตัวเกมที่โด่งดังอยู่แล้วให้ดังมากขึ้นไปอีก จนมาถึง Dragon Quest ll ที่สานต่อเรื่องราวจากภาคแรกที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จนในปี 1988 ทาง Enix ในสมัยนั้นจึงทำหนังสั้นเพื่อโปรโมทเกมนี้ออกมาในชื่อ Dragon Quest Fantasia ซึ่งมันหาดูได้ยากจนแม้แต่แฟน Dragon Quest หลายคนก็ไม่รู้ว่ามีวิดีโอนี้อยู่ เรามาดูเรื่องราวของหนังสั้นนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย
เริ่มจากในตัวอย่างที่เราได้ดูข้างบน ซึ่งอันนี้เป็นแค่แบบย่อไม่ใช่ตัวเต็มของ Dragon Quest Fantasia มันคือเรื่องราวของเหล่าผู้กล้าจาก Dragon Quest ll ที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้กล้าทั้งสามคนที่ออกเดินทางไปต่อกรกับราชามังกรตัวร้ายใน Dragon Quest ภาคแรก !!?? พร้อมกับร่างที่แท้จริงของราชามังกร โดยเรื่องสั้นนี้กับโดย นากามูระ โคอิจิ ที่ออกฉายโดย Enix ในปี 1988 เป็นการตีความใหม่แบบย่อ ๆ โดยใช้เรื่องราวของผู้กล้า Roto ในภาคที่ 2 มาสร้าง และใช้ดนตรีประกอบที่แต่งโดย สุกิยามะ โคอิจิ และแสดงโดยนักแสดงจาก Tokyo Metropolitan Symphony Orchestra มาแสดงในยุคนั้น โดยเรื่องสั้นตัวเต็มกว่า 40 นั้นก็อยู่ข้างล่างนี้แล้ว
ส่วนใครที่เน็ตไม่แรงดูวิดีโอข้างบนไม่ได้ เราก็มีเอาเนื้อมามาเล่าให้อ่านกัน เริ่มต้นด้วยการแสดงดนตรีออเคสตราของวง Overture ที่ทำเกมในซีรีส์นี้ ก่อนที่ภาพจะตัดไปที่ตัวผู้กล้าที่เดินทางในป่าท่ามกลางธรรมชาติเพียงลำพัง แต่พอตกกลางคืนผู้กล้าหนุ่มก็ถูกพวกฝูงสไลม์โจมตี มีตัวหนึ่งตกลงไปในหม้อที่กำลังต้มน้ำจนกลายเป็นสไลม์เปื่อย ก่อนที่ผู้กล้าจะหนีออกมาเพราะเข้ามีแค่ไม้กระบอกเท่านั้น (แม่จ๋าหนูกลัวสไลม์)

ในตอนเช้าผู้กล้าได้ออกเดินทางต่อจนไปถึงปราสาท Sumaltria เพื่อตามหาเพื่อนร่วมเดินทางที่เป็นสายเลือด Roto เหมือนกัน แต่ก็ได้พบกับกษัตริย์ของ Sumaltria ซึ่งให้พรแก่เขา (พร้อมกับเซฟเกม) และบอกว่าลูกชายตนออกเดินทางข้างนอก โดยทางกษัตริย์ของ Sumaltria ก็ให้เงินมานิดหน่อยสำหรับการเดินทาง จากนั้นผู้กล้าก็พบกับนักบวชที่โบสถ์และเดินทางไปยังเมือง Sumaltria ซึ่งเขาก็ซื้อดาบทองแดงและโล่หนังด้วยทองคำที่มี (พ่อค้าหลอกขายชัด ๆ)

พอออกมานอกเมืองผู้กล้าได้พบกับเพื่อนร่วมเดินทางคนแรกนั่นคือเจ้าชายแห่ง Sumaltria ที่ตามหาและอีกคนคือนักเวทย์เจ้าหญิงแห่ง Moonbrooke (ตัดฉากที่เธอถูกสาปเป็นหมาไป) พอได้เพื่อนครบตี้ทั้งสามก็รวบรวมเสบียงและตั้งค่ายพักแรม ก่อนจะออกเดินทางไปยังเมืองเพื่อรวบรวมเบาะแสสำหรับการเดินทาง พวกเขาได้รับกุญแจของผู้คุมจากพ่อค้า และพบกับนักโทษที่แสดงตำแหน่งของถ้ำบนแผนที่ให้พวกเขาเพื่อหาสมบัติและอาวุธเพื่อใช้ในการเดินทาง

หลังจากเดินทางผ่านป่าดงดิบทั้งสามคนก็ไปถึงถ้ำปริศนา ที่นั่นทั้งสามต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Chimaera, Magus และ Green Dragon หลังจากการต่อสู้ที่โหดร้ายและเก็บเลเวลจนล่ำใจทั้งสามก็พบดาบผู้กล้า Roto ในตำนาน พอได้อาวุธในตำนานทั้งสามก็ออกเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ ด้วยเรือของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักร Isis และ Jipang ซึ่งที่นั่นทั้งสามได้พบกับ Queen Himiko ที่ชี้แนะเส้นทางให้กับ 3 ผู้กล้า (เจ๊เหมือนหลุดมาจากหนังผียุค 80 เลยทีเดียว)

จากนั้นทั้งสามคนก็ไปถึงเกาะ Leiamland ซึ่งพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากนก Ramia ตอนนี้ด้วยความสามารถในการบินผ่านท้องฟ้าบนหลังของ Ramia กลุ่มเพื่อนก็มาถึงปราสาทของ Dragonlord ในที่สุด โดยในปราสาทของราชามังกรก็มีชุดเกราะของผู้กล้า Roto รวมถึงโล่ในตำนานก็อยู่ที่นี่ จนไปถึงห้องของ Dragonlord ราชามังกรก็แปลงร่างเป็นมังกรยักษ์โจมตีใส่ผู้กล้าหนุ่มด้วยลมหายใจที่ร้อนแรง (ตอนนี้เพลงอันคุ้นเคยก็ดังมาทันที)

ทั้งสามพยายามต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่มี และตอนนั้นเองเพื่อนร่วมเดินทางทั้งสองได้เบี่ยงเบนความสนใจของ Dragonlord ในขณะที่ผู้กล้าปีนขึ้นไปบนหลังของมัน และฟันด้วยดาบของเขาจนราชามังกรตาย พอราชามังกรสิ้นชีพปราสาทเริ่มพังทลายลง ทั้งสามก็สามารถหลบหนีออกมาได้ท่ามกลางซากปรักหักพังของปราสาท และซากศพของราชามังกรโดยมีดาบ Roto ปักอยู่ ซึ่งหายไปในแสงระยิบระยับเมื่อสันติภาพเกิดขึ้นจบ

เอาจริง ๆ ตัวเรื่องก็มีกลิ่นอายความเป็น Dragon Quest อยู่เต็มเปี่ยมแบบไม่มีขาดตก แต่ก็แอบหลอนในหลาย ๆ ฉากโดยเฉพาะสไลม์ที่ถูกต้มที่แบบชวนฝันร้ายแบบสุด ๆ นี่ยังไม่นับเหล่ามอนสเตอร์ที่เอามาทำให้สมจริง ที่เห็นแล้วก็แอบยอมใจนักแสดงเด็กในตอนนั้น ที่กล้าเล่นกับหุ่นที่หน้าตาน่ากลัวแบบนี้ได้ ในส่วนของเนื้อเรื่องเอาจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรพิเศษเหมือนทางผู้กำกับตั้งใจขายเพลงมากกว่าจะตั้งใจบอกเรื่องราวผ่านภาพ และที่ขัดใจสุด ๆ คือตัวร้ายที่เป็นราชามังกรที่สลับภาคกันเฉยเลย แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเค (มั้ง) ถือว่าเป็นการเอาของเก่าของแปลกมาให้ดูสำหรับแฟน Dragon Quest ที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนได้ชมกัน