
ย้อนกลับไปในอดีตสมัยที่เครื่อง PlayStation 1 ยังเป็นเจ้าตลาด ในตอนนั้นก็มีเกมต่อสู้ออกมามากมายให้เราได้เลือกเล่น จนเรียกว่าเป็นยุคทองของเกมแนวนี้เลยก็ว่าได้ โดยเจ้าของของเกมแนวต่อสู้ในยุคนั้น (รวมถึงในยุคนี้) ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากทาง Capcom ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาทำเป็นเกมต่อสู้มันก็สนุกกลมกล่อมน่าเล่นให้แฟน ๆ ได้ติดกันงอมแงมไปทุกราย หนึ่งในนั้นก็คือเกมต่อสู้ที่สร้างจะมังงะชื่อดังในยุคนั้นอย่าง หน้ากากทมิฬ (ใครทันอ่านชื่อนี้แปลว่าคุณไม่เด็กแล้ว) หรือ jojo's bizarre adventure โจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ ที่ทาง Capcom ก็หยิบภาค 3 ของมังงะมาสร้างเป็นเกมต่อสู้สุดมันให้เราได้เล่น และวันที่ 24 กันยายน 1999 ครบรอบ 25 ปีเกม jojo's bizarre adventure ที่ปล่อยให้เล่นบนเกมตู้ เรามาย้อนอดีตดูเรื่องราวของเกมนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย
ตัวเกม jojo's bizarre adventure เปิดตัวครั้งแรกบนตู้เกมอาเขตในปี 1998 บนบอร์ดตู้เกม CP System III (CPS-3) ในชื่อ JOJO's Venture ซึ่งยังไม่ใช่ตัวเกมที่ปล่อยออกมาให้เล่นทั่วไป จนเวอร์ชันอัปเดตของเกมได้เปิดตัวในปี 1999 พร้อมชื่ออย่างเป็นทางการย๊าวยาวว่า JoJo's Bizarre Adventure Heritage for the Future ก่อนจะตัดกราฟิกหลาย ๆ ส่วนออกจากเกมตู้เพื่อเอามาลงบนคอนโซลอย่าง PlayStation 1 และ Dreamcast (ว่ากันว่าบนเครื่องนี้จะสมบูรณ์เทียบเท่าเกมตู้เลยทีเดียว)
โดยเกมดังกล่าวผสมผสานกราฟิกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเกม Darkstalkers ของ Capcom กับตัวละครและเหตุการณ์ที่มีสีสันของอาจารย์ อารากิ ฮิโรฮิโกะ ที่ใช้สิ่งที่เรียกว่า สแตนด์ ในการต่อสู้ที่เป็นประหนึ่งวิญญาณผู้พิทักษ์ที่เรียกมาช่วยสู้ได้ ซึ่งผู้เล่นสามารถเรียกหรือยกเลิกสแตนด์ได้ตามต้องการ ส่งผลให้รายการการเคลื่อนไหวและความสามารถของตัวละครมีความหลากหลายมากกว่าเกมต่อสู้ทั่วไป ที่ยิ่งใครรู้จักเคยอ่านมังงะในตอนนั้น จะยิ่งอินชอบและรู้ว่าตัวไหนทำอะไรได้บ้าง ซึ่งนั่นคือความสนุกของเกมนี้
ในส่วนของผู้เขียนต้นฉบับอย่างอาจารย์ อารากิ ก็ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับเกม และยังวาดปกเกมรวมถึงการออกแบบตัวละครเฉพาะเกมนี้มาให้อีกด้วย โดยตัวละครที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเกมนี้ก็คือ มิดเลอร์ ผู้ใช้แสตนด์ High Priestess ที่มีความสามารถในการแปลงร่าง และหลอมรวมตัวเองเข้ากับอนินทรีย์วัตถุทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโลหะแก้วหรือพลาสติก เพื่อเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ซับซ้อนได้อย่างปืนยิงฉมวกใบเลื่อยมีดที่ขยับเองได้ เนื่องจาก Capcom ในตอนนั้นสนใจที่จะใช้เธอในเกม แต่ในมังงะอนิเมะเราจะไม่ได้เห็นเธอ แต่จะได้เห็นแบบเต็ม ๆ ในเกมนี้

จุดเด่นจุดขายจริง ๆ ของเกมนี้ก็คือพลังแสตนด์อย่างที่เราได้บอกไป ซึ่งเป็นการฉายภาพพลังของนักสู้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนักสู้แต่ละคน โดยการใช้ปุ่มเรียกสแตนด์ออกมา ที่แต่ละตัวก็จะมีการเรียกและท่วงท่าที่เปลี่ยนไปจากตอนปกติ และเมื่อเรียกสแตนด์ออกมาตัวละครจะมีพลังการโจมตีสูงขึ้น สามารถกระโดดสองครั้งได้ แต่การเรียกสแตนด์ออกมาก็มีข้อเสีย ตรงที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเพิ่มเป็นสองเท่าหากสแตนด์อยู่ไกลจากผู้ใช้ ส่วนการปรากฏตัวของสแตนด์บนสนามจะถูกกำหนดโดย Stand Gauge ซึ่งจะลดลงหาก Stand ถูกโจมตี และจะเติมใหม่ในขณะที่สแตนด์ถูกดึงกลับไป และหากเกจหมดลงจะเกิด Stand Crash ขึ้น ซึ่งทำให้นักสู้มึนงงชั่วคราวและเปิดช่องให้โดนโจมตีได้
นอกจากนี้ก็ยังมีท่าที่เรียกว่า Blazing Fists ซึ่งเป็นการปะทะกันของสแตนด์ 2 ตัว (แลกหมัดกัน) โดยนักสู้จะต้องกดปุ่มรัว ๆ เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ (ชั่วโมงนั้นต่างฝ่ายต่างรัวปุ่มจนจอยเกมแทบพัง) ในส่วนของบนคอนโซลนอกจากโหมดทั่วไปเช่น Versus ที่มีทั้งเล่นคนเดียวและสู้กับเพื่อนแล้ว เกมยังมี Story Mode ที่จะเป็นโหมดเนื้อเรื่องที่เราจะได้เล่นเป็นตัวละครต่าง ๆ ตามในอนิเมะเพื่อสู้กับผู้ใช้สแตนด์คนอื่น ๆ ในเรื่องซึ่งในส่วนนี้ถ้าใครรู้เนื้อเรื่องจะอินแบบสุด ๆ เลยทีเดียว

ใครที่สนใจก็คงต้องบอกว่าเสียใจด้วย เพราะครั้งล่าสุดที่ทาง Capcom เอาเกมนี้มาให้เราเล่นก็คือบน PlayStation 3 ที่หาเล่นได้ยากมากแม้แต่บน PlayStation 1 ก็หาซื้อแผ่นได้ยาก ใครที่สนใจอยากเล่นก็ต้องรอลุ้นว่าอนาคตทาง Capcom จะใจดีเอาเกมนี้มาให้เราเล่นไหม เพราะช่วงนี้เห็น Capcom เอาเกมต่อสู้เก่า ๆ มาขายใหม่รัว ๆ ไม่แน่อนาคตอาจจะเอาเกมนี้มาขายใหม่ก็ได้ใครจะรู้ ซึ่งถ้ามาเมื่อไหร่เราจะเอามาบอกให้รู้ทันทีติดตามเอาไว้ได้เลย